ผ่อนบ้านลดต้นลดดอก คืออะไร? วิธีนี้ดีไหม พร้อมยกตัวอย่าง

วิธีผ่อนบ้านแบบลดต้นลดดอก เป็นหลักการคำนวณที่ผู้กู้ควรทำความเข้าใจนั้น โดยการคำนวนมีวิธีคิดอย่างไร แล้ววิธีนี้ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อภาระดอกเบี้ยที่คุณจะต้องจ่ายตลอดอายุสัญญา จะมีข้อดีอะไรบ้าง ซึ่งการเข้าใจรายละเอียดต่าง ๆ รวมถึงมีความต่างจากแบบดอกเบี้ยคงที่อย่างไร จะช่วยให้คุณบริหารจัดการการผ่อนชำระได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถหาคำตอบได้ในบทความนี้

การผ่อนบ้านลดต้นลดดอก คืออะไร?

แนวความรู้เรื่องการผ่อนบ้านลดต้นลดดอกคืออะไร

การผ่อนบ้านลดต้นลดดอก คือ วิธีการคำนวณดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านแบบ "ลดต้นลดดอก" (Reducing Balance Interest Rate) โดยดอกเบี้ยจะถูกคำนวณจากเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวดที่ผู้กู้ชำระเข้าไป นั่นหมายความว่า ยิ่งคุณจ่ายเงินต้นคืนได้มากเท่าไร เงินต้นคงเหลือก็จะลดลง และดอกเบี้ยที่ถูกคำนวณในงวดถัดไปก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้เงินที่คุณผ่อนในแต่ละงวดถูกนำไปตัดเงินต้นได้มากขึ้น ส่งผลให้หนี้หมดเร็วขึ้นและประหยัดดอกเบี้ยโดยรวมได้มากขึ้น

ดอกเบี้ยบ้านแบบลดต้นลดดอกต่างจากแบบดอกเบี้ยคงที่อย่างไร?

ในการพิจารณาว่าดอกเบี้ยบ้านแบบไหนดีที่สุดนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความต้องการของผู้กู้แต่ละราย แต่โดยทั่วไปแล้วดอกเบี้ยบ้านแบบลดต้นลดดอก มักจะเป็นที่นิยมและแนะนำมากกว่า เพราะเปิดโอกาสให้ผู้กู้ประหยัดดอกเบี้ยได้หากมีการจัดการที่ดีมาดูตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยบ้านแบบลดต้นลดดอกกับดอกเบี้ยแบบคงที่ เพื่อให้คุณเข้าใจถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นกัน

คุณสมบัติ ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Reducing Balance) ดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate)
การคำนวณดอกเบี้ย คำนวณจาก "เงินต้นคงเหลือ" ในแต่ละงวดที่ชำระ คำนวณจาก "เงินต้นทั้งหมด" ตลอดอายุสัญญา โดยไม่ลดลงแม้จะจ่ายเงินต้นไปแล้ว
ผลต่อเงินต้น ยิ่งจ่ายมาก เงินต้นยิ่งลดเร็ว ดอกเบี้ยยิ่งน้อยลง เงินต้นที่ถูกหักจากค่างวดอาจไม่ลดลงเร็วเท่า แม้จ่ายค่างวดเท่ากัน
โอกาสประหยัด สูง หากมีการโปะหนี้เพิ่ม หรือชำระเกินค่างวด ไม่มีผลต่อการประหยัดดอกเบี้ยโดยรวม หากโปะหนี้เพิ่ม
ความยืดหยุ่น สูงกว่า สามารถวางแผนการผ่อนชำระเพื่อลดดอกเบี้ยได้ ต่ำกว่า ดอกเบี้ยตายตัวไม่ว่าจะจ่ายเพิ่มหรือไม่
เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการผ่อนหมดเร็ว, ต้องการประหยัดดอกเบี้ย, มีความสามารถในการโปะหนี้ สินเชื่อระยะสั้น หรือผู้ที่ต้องการความแน่นอนของดอกเบี้ยตลอดสัญญา
ตัวอย่างสินเชื่อ สินเชื่อบ้าน, สินเชื่อส่วนบุคคลที่มักคิดดอกเบี้ยรายวัน สินเชื่อรถยนต์, สินเชื่อเช่าซื้อ (บางประเภท)

ตัวอย่างวิธีคิดคำนวณดอกเบี้ยลดต้นลดดอก

การแสดงวิธีคำนวณดอกเบี้ยบ้านแบบลดต้นลดดอก

การคำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกจะมีความซับซ้อนกว่าดอกเบี้ยแบบคงที่เล็กน้อย เพราะต้องคำนวณจากเงินต้นที่ลดลงในแต่ละงวด แต่หลักการ คือ ดอกเบี้ยจะลดลงเมื่อเงินต้นลดลง

วิธีคิด

  1. คำนวณดอกเบี้ยของงวดนั้น ๆ โดยนำ "เงินต้นคงเหลือ ณ สิ้นงวดก่อนหน้า" มาคูณกับ "อัตราดอกเบี้ยต่อปี" แล้วหารด้วย 365 (หรือ 366 ในปีอธิกสุรทิน) คูณด้วย "จำนวนวันในงวดนั้น ๆ" (ซึ่งส่วนใ หญ่ คือ 30-31 วัน)
  2. เมื่อนำ "ค่างวดที่จ่าย" ลบด้วย "ดอกเบี้ยที่คำนวณได้" ส่วนที่เหลือจะเป็น "เงินต้นที่ถูกตัด"
  3. จากนั้นนำ "เงินต้นคงเหลือ ณ สิ้นงวดก่อนหน้า" ลบด้วย "เงินต้นที่ถูกตัด" เพื่อให้ได้เงินต้นคงเหลือสำหรับคำนวณดอกเบี้ยในงวดถัดไป

ยกตัวอย่าง

สมมติว่าคุณกู้ซื้อบ้าน 1,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี ผ่อนชำระเดือนละ 7,000 บาท (โดยประมาณ)

งวดที่ 1

เงินต้นคงเหลือ ณ ต้นงวด: 1,000,000 บาท

ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในเดือนนี้ (สมมติ 30 วัน): (1,000,000 บาท x 6% x 30 วัน) / 365 วัน = 4,931.51 บาท

ค่างวดที่จ่าย: 7,000 บาท จะถูกตัดเงินต้นอยู่ที่: 7,000 บาท - 4,931.51 บาท = 2,068.49 บาท

เงินต้นคงเหลือ ณ สิ้นงวด: 1,000,000 บาท - 2,068.49 บาท = 997,931.51 บาท

งวดที่ 2

เงินต้นคงเหลือ ณ ต้นงวด: 997,931.51 บาท

ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในเดือนนี้ (สมมติ 30 วัน): (997,931.51 บาท x 6% x 30 วัน) / 365 วัน = 4,921.28 บาท

ค่างวดที่จ่าย: 7,000 บาท จะถูกตัดเงินต้นอยู่ที่: 7,000 บาท - 4,921.28 บาท = 2,078.72 บาท

เงินต้นคงเหลือ ณ สิ้นงวด: 997,931.51 บาท - 2,078.72 บาท = 995,852.79 บาท

จะเห็นได้ว่าในงวดที่ 2 ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลดลงเล็กน้อย (จาก 4,931.51 บาท เป็น 4,921.28 บาท) และเงินต้นที่ถูกตัดเพิ่มขึ้น (จาก 2,068.49 บาท เป็น 2,078.72 บาท) แม้ว่าจะจ่ายค่างวดเท่าเดิม นี่คือหลักการของดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก “ยิ่งเงินต้นลด ดอกเบี้ยก็ยิ่งลดลง” ทำให้เงินที่เราจ่ายไปตัดเงินต้นได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละงวด และเป็นเหตุผลว่าทำไมการโปะหนี้ (จ่ายเกินค่างวด) จึงช่วยลดระยะเวลาผ่อนและประหยัดดอกเบี้ยได้อย่างมหาศาล

ข้อดีของการเลือกดอกเบี้ยลดต้นลดดอก มีอะไรบ้าง?

ภาพแสดงข้อดีของการผ่อนบ้านแบบลดต้นลดดอก

การเลือกสินเชื่อบ้านที่คำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกมีข้อดีหลายประการที่ผู้กู้ควรพิจารณา ซึ่งจะช่วยให้คุณบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดยิ่งขึ้น

  1. ประหยัดดอกเบี้ยโดยรวม: นี่คือข้อดีที่โดดเด่นที่สุด เนื่องจากดอกเบี้ยจะถูกคำนวณจากเงินต้นคงเหลือที่ลดลงเรื่อย ๆ หากคุณจ่ายเงินต้นได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายค่างวดที่สูงกว่าขั้นต่ำ หรือการโปะหนี้ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดถัดไปก็จะลดลง ทำให้จำนวนดอกเบี้ยที่คุณจ่ายตลอดอายุสัญญาลดลงอย่างมาก

  2. หนี้หมดเร็วขึ้น: เพราะเมื่อดอกเบี้ยที่ถูกคำนวณในแต่ละงวดลดลง สัดส่วนของเงินที่คุณจ่ายในแต่ละค่างวดจะถูกนำไปตัดเงินต้นได้มากขึ้น ส่งผลให้เงินต้นลดลงเร็วขึ้น และทำให้คุณสามารถชำระคืนหนี้ได้หมดก่อนกำหนดเวลาเดิมที่วางไว้

  3. มีความยืดหยุ่นในการชำระ: เนื่องจากระบบลดต้นลดดอกส่งเสริมให้คุณสามารถวางแผนการชำระหนี้ได้อย่างยืดหยุ่น เช่น หากมีรายได้พิเศษหรือโบนัส คุณสามารถนำเงินมาโปะหนี้ได้โดยตรงเพื่อลดเงินต้น ซึ่งจะส่งผลให้ดอกเบี้ยลดลงทันที และสามารถลดภาระดอกเบี้ยได้มากกว่าการนำเงินไปออมในรูปแบบอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

  4. ในช่วงเริ่มต้นของการผ่อนชำระ: เงินส่วนใหญ่ของค่างวดจะถูกนำไปจ่ายดอกเบี้ย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เงินต้นลดลง สัดส่วนของดอกเบี้ยจะลดลง ในขณะที่สัดส่วนของเงินที่นำไปตัดเงินต้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผู้กู้รู้สึกว่าหนี้ลดลงอย่างแท้จริง

ข้อเสียของการเลือกดอกเบี้ยลดต้นลดดอก มีอะไรบ้าง?

แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่การคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกก็อาจมีข้อเสียบางประการที่ควรทราบ โดยเฉพาะหากผู้กู้ไม่ได้บริหารจัดการอย่างเหมาะสม

  1. การคำนวณที่ซับซ้อนกว่าดอกเบี้ยแบบคงที่: เนื่องจากต้องมีการคำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวันหรือแต่ละงวด ทำให้ผู้กู้อาจเข้าใจได้ยากว่าในแต่ละค่างวด เงินถูกนำไปตัดดอกเบี้ยและเงินต้นในสัดส่วนเท่าใด หากไม่มีเครื่องมือช่วยคำนวณ

  2. ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย: สำหรับดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) ซึ่งจะปรับเปลี่ยนไปตามอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของตลาด เช่น MRR, MLR, MOR หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มสูงขึ้น ภาระดอกเบี้ยต่อเดือนของผู้กู้ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แม้จะยังคงเป็นระบบลดต้นลดดอกก็ตาม

  3. ต้องมีวินัยในการบริหารจัดการ: เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลดต้นลดดอก ผู้กู้ควรมีความเข้าใจและมีวินัยในการจ่ายชำระ เช่น การโปะหนี้เมื่อมีเงินก้อน หรือการจ่ายค่างวดที่สูงกว่าขั้นต่ำ หากไม่มีการจัดการที่ดี หรือจ่ายเพียงแค่ขั้นต่ำตามสัญญา ผลประโยชน์ในการประหยัดดอกเบี้ยก็จะลดลงไปนั่นเอง

วิธีคิดดอกเบี้ยแบบคงที่

ดอกเบี้ยแบบคงที่ หรือ "Flat Rate" เป็นวิธีการคำนวณดอกเบี้ยที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาและมักใช้กับสินเชื่อประเภทอื่นที่ไม่ใช่สินเชื่อบ้าน เช่น สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งมีลักษณะการคำนวณดอกเบี้ยที่แตกต่างจากการลดต้นลดดอกโดยสิ้นเชิง

โดยดอกเบี้ยแบบคงที่จะคำนวณจากเงินต้นทั้งหมด ตลอดอายุสัญญา โดยนำอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้มาคูณกับเงินต้นทั้งหมดตั้งแต่แรก และกำหนดเป็นยอดดอกเบี้ยคงที่ที่ต้องจ่ายตลอดระยะเวลาผ่อนชำระ โดยไม่คำนึงถึงว่าเงินต้นจะลดลงไปเท่าไรแล้วในแต่ละงวดที่ผ่อนชำระเข้าไป

วิธีคิด

นำ "เงินต้นทั้งหมด" คูณด้วย "อัตราดอกเบี้ยต่อปี" คูณด้วย "จำนวนปีที่ผ่อนชำระ"
คำนวณค่างวดต่อเดือน โดยนำ (เงินต้นทั้งหมด + ดอกเบี้ยรวมตลอดสัญญา) มาหารด้วย "จำนวนงวดทั้งหมด (จำนวนปี x 12 เดือน)"

ยกตัวอย่าง

สมมติว่าคุณซื้อรถยนต์ราคา 800,000 บาท ผ่อนชำระ 5 ปี (60 เดือน) อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี

  1. คำนวณดอกเบี้ยรวมตลอดสัญญา
    ดอกเบี้ยรวม = เงินต้น x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนปีที่ผ่อน 
    ดอกเบี้ยรวม = 800,000 บาท x 3% x 5 ปี ดอกเบี้ยรวม = 800,000 บาท x 0.03 x 5 = 120,000 บาท

  2. คำนวณยอดรวมที่ต้องชำระ
    ยอดรวมที่ต้องชำระ = เงินต้น + ดอกเบี้ยรวม 
    ยอดรวมที่ต้องชำระ = 800,000 บาท + 120,000 บาท = 920,000 บาท

  3. คำนวณค่างวดต่อเดือน
    ค่างวดต่อเดือน = ยอดรวมที่ต้องชำระ / จำนวนงวดทั้งหมด
    ค่างวดต่อเดือน = 920,000 บาท / 60 เดือน = 15,333.33 บาท

ในกรณีนี้ คุณจะต้องจ่ายค่างวดเดือนละ 15,333.33 บาท เป็นเวลา 60 เดือน โดยในแต่ละงวด เงินที่นำไปตัดดอกเบี้ยจะเป็นสัดส่วนคงที่ และไม่เปลี่ยนแปลงแม้คุณจะโปะหนี้ก็ตาม เพราะดอกเบี้ยถูกคำนวณจากเงินต้นเต็มจำนวนตั้งแต่แรกแล้ว

คำถามที่พบบ่อย

ดอกเบี้ยลดต้นลดดอกกับดอกเบี้ยคงที่ ควรเลือกดอกเบี้ยแบบไหนดี?

โดยทั่วไปแล้ว การเลือกดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Reducing Balance) มักจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับสินเชื่อบ้าน เนื่องจากสินเชื่อบ้านเป็นหนี้ระยะยาว การคำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือทำให้ผู้กู้มีโอกาสประหยัดดอกเบี้ยได้มหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการโปะหนี้เพิ่ม หรือชำระค่างวดที่สูงกว่าขั้นต่ำ จะช่วยให้หนี้หมดเร็วขึ้นและลดภาระดอกเบี้ยรวมได้มาก 

ในขณะที่ดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate) แม้จะดูเข้าใจง่ายและค่างวดคงที่ตลอดสัญญา แต่ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณจากเงินต้นเต็มจำนวนตั้งแต่แรก ทำให้ไม่มีโอกาสประหยัดดอกเบี้ยจากการโปะหนี้เลย จึงไม่เหมาะกับสินเชื่อระยะยาวอย่างสินเชื่อบ้าน

ลดต้นลดดอกช่วยประหยัดจริงไหม?

จริงอย่างแน่นอน การผ่อนบ้านแบบลดต้นลดดอกช่วยให้คุณประหยัดดอกเบี้ยได้จริง โดยเฉพาะเมื่อคุณมีความสามารถในการโปะหนี้ (จ่ายเกินค่างวด) หรือชำระเงินต้นเพิ่มเข้าไป เพราะทุกบาทที่คุณจ่ายเกินค่างวดขั้นต่ำจะถูกนำไปตัดเงินต้นเป็นอันดับแรก ซึ่งส่งผลให้เงินต้นคงเหลือลดลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเงินต้นลดลง ดอกเบี้ยที่คำนวณในงวดถัดไปก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้สัดส่วนเงินที่นำไปตัดเงินต้นในค่างวดต่อ ๆ ไปมีมากขึ้น หนี้จึงหมดเร็วขึ้นและดอกเบี้ยรวมที่คุณต้องจ่ายตลอดอายุสัญญาก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ธนาคารไหนดี?

เจ้าหน้าที่ธนาคารให้คำปรึกษาเรื่องสินเชื่อบ้านแบบลดต้นลดดอก

การเลือกธนาคารที่ดีที่สุดสำหรับสินเชื่อบ้านแบบลดต้นลดดอกนั้น ขึ้นอยู่กับโปรโมชัน อัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขที่ธนาคารนำเสนอในช่วงเวลานั้น ๆ ไม่มีธนาคารใดที่ "ดีที่สุด" ตลอดเวลา สิ่งสำคัญคือคุณควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและโปรโมชันของหลาย ๆ ธนาคารอย่างละเอียด ทั้งอัตราดอกเบี้ยคงที่ในช่วงปีแรก ๆ และอัตราดอกเบี้ยลอยตัวหลังหมดช่วงโปรโมชัน รวมถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เงื่อนไขการอนุมัติ และบริการเสริมที่แต่ละธนาคารมีให้ 

การปรึกษาเจ้าหน้าที่ธนาคารหลายแห่งและพิจารณาจากความต้องการและความสามารถในการชำระหนี้ของคุณเอง จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกข้อเสนอที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณ 

สรุป: เรื่องผ่อนบ้านแบบลดต้นลดดอก

การทำความเข้าใจหลักการผ่อนบ้านแบบลดต้นลดดอก คือ หัวใจสำคัญของการบริหารจัดการหนี้อย่างชาญฉลาด เพราะดอกเบี้ยจะถูกคำนวณจากเงินต้นคงเหลือ ทำให้คุณสามารถประหยัดดอกเบี้ยรวม ได้มหาศาลและปลดภาระหนี้ได้เร็วขึ้น เพียงแค่วางแผนและโปะหนี้ เมื่อมีเงินก้อน แม้จะต้องมีวินัยทางการเงินที่ดี แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าอย่างแน่นอน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อบ้านในฝันของคุณ และการวางแผนการเงินที่ยั่งยืน

Frasers Property เรามุ่งมั่นพัฒนาโครงการคุณภาพที่คุ้มค่าแก่การลงทุน เพื่อให้คุณได้เป็นเจ้าของบ้านในฝันได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าสำหรับทุกบาททุกสตางค์ที่คุณจ่ายไป

รวมบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมพร้อมอยู่ ในราคาผ่อนได้สบาย ๆ

การเป็นเจ้าของและซื้อบ้านสักหลังไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป! Frasers Property รวบรวมโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมพร้อมอยู่คุณภาพเยี่ยมในทำเลศักยภาพ มาพร้อมราคาที่ผ่อนสบาย ให้คุณเป็นเจ้าของได้อย่างมั่นใจ

บ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ ในราคาผ่อนได้สบาย ๆ

Frasers Property ขอแนะนำโครงการบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ที่ออกแบบมาเพื่อชีวิตที่เหนือกว่า ในราคาที่เอื้อมถึง

1.นีโอ โฮม บางแค (Neo Home Bangkhae)

บ้านเดี่ยวโครงการนีโอ โฮม บางแค เริ่มต้น 7.99 ล้านบาท

บ้านเดี่ยวฟังก์ชันครบครันบนทำเลศักยภาพย่านบางแค ที่มาพร้อมพื้นที่ใช้สอยที่คุ้มค่า การเดินทางสะดวกสบาย ใกล้รถไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะสำหรับครอบครัวที่กำลังมองหาบ้านที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ เริ่มต้น 7.99 ล้านบาท

2. นีโอ โฮม รัตนาธิเบศร์-ราชพฤกษ์ (Neo Home Rattanathibet-Ratchapruek)

บ้านเดี่ยวโครงการนีโอ โฮม รัตนาธิเบศร์ ราชพฤกษ์ ราคาเริ่มต้น 5.69 ล้านบาท

บ้านเดี่ยวที่ให้คุณได้สัมผัสความสุขของการใช้ชีวิตในสังคมคุณภาพ ด้วยการออกแบบที่เน้นความโปร่ง โล่ง สบาย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการครบครัน ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วงและห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เริ่มต้น 5.69 ล้านบาท

3. โกลเด้น นีโอ ศิริราช-ราชพฤกษ์ (Golden Neo Siriraj-Ratchapruek)

บ้านเดี่ยวโครการโกลเด้น นีโอ ศิริราช-ราชพฤกษ์  เริ่มต้น 8 ล้านบาท

บ้านเดี่ยวที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ แต่ยังคงเชื่อมต่อความสะดวกสบายได้อย่างลงตัว ใกล้ BTS สายสีเขียว สถานีบางหว้า และ MRT สีน้ำเงิน สถานีแยกไฟฉาย โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ทันสมัย พื้นที่กว้างขวาง และสังคมคุณภาพ เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการความสงบและความเป็นส่วนตัว เริ่มต้น 8.99 ล้านบาท

4. โกลเด้น นีโอ 2 รามอินทรา-วงแหวน (Golden Neo 2 Ramintra-Wongwaen)

บ้านเดี่ยวโครงการโกลเด้น นีโอ 2 รามอินทรา-วงแหวน ราคา เริ่มต้น 5 ล้านบาท

บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่ที่โดดเด่นบนทำเลรามอินทรา-วงแหวนฯ เชื่อมต่อการเดินทางสู่เมืองได้อย่างรวดเร็ว ใกล้ทางด่วนและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย โครงการมาพร้อมพื้นที่ใช้สอยที่ลงตัวสำหรับครอบครัวยุคใหม่ พร้อมบรรยากาศอบอุ่นเป็นส่วนตัว เริ่มต้น 5.69 ล้านบาท

ทาวน์โฮมพร้อมอยู่ ในราคาผ่อนได้สบาย ๆ

1. โกลเด้น ทาวน์ รัตนาธิเบศร์-เวสต์เกต (Golden Town Rattanathibet-Westgate)

ทาวน์โฮมโครงการโกลเด้น ทาวน์ รัตนาธิเบศร์-เวสต์เกต ราคา เริ่มต้น 2_39 ล้านบาท

เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์อิตาลี มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ สนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ และระบบรักษาความปลอดภัย ตั้งอยู่ใกล้เซ็นทรัล เวสต์เกต และรถไฟฟ้าสายสีม่วง เริ่มต้น 2.39 ล้านบาท

2. โกลเด้น ทาวน์ สุขสวัสดิ์-พระราม 3 (Golden Town Suksawat - Rama 3)

ทาวน์โฮมโครงการโกลเด้น ทาวน์ สุขสวัสดิ์-พระราม 3  ราคาเริ่มต้นที่ 2_89 ล้านบาท

เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้นที่โดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้งใกล้รถไฟฟ้าและทางด่วน ภายในโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนสาธารณะ ระบบรักษาความปลอดภัย และคลับเฮาส์พร้อมโรงหนังส่วนตัว ใกล้เซ็นทรัล พระราม 2 และโรงพยาบาลบางปะกอก 1 ราคาเริ่มต้นที่ 2.89 ล้านบาท

3. โกลดีน่า สุขุมวิท-แบริ่ง (Goldina Sukhumvit-Bearing)

โกลดีน่า สุขุมวิท-แบริ่งราคาเริ่มต้นที่ 3_59 ล้านบาท

เป็นทาวน์โฮมพรีเมียมที่ตั้งอยู่ใกล้ BTS แบริ่ง และ MRT สำโรง มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนเมือง ใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์ อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา และโรงพยาบาล ราคาเริ่มต้นที่ 3.59 - 6 ล้านบาท