วิธีผ่อนบ้านแบบลดต้นลดดอก เป็นหลักการคำนวณที่ผู้กู้ควรทำความเข้าใจนั้น โดยการคำนวนมีวิธีคิดอย่างไร แล้ววิธีนี้ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อภาระดอกเบี้ยที่คุณจะต้องจ่ายตลอดอายุสัญญา จะมีข้อดีอะไรบ้าง ซึ่งการเข้าใจรายละเอียดต่าง ๆ รวมถึงมีความต่างจากแบบดอกเบี้ยคงที่อย่างไร จะช่วยให้คุณบริหารจัดการการผ่อนชำระได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถหาคำตอบได้ในบทความนี้
การผ่อนบ้านลดต้นลดดอก คืออะไร?
การผ่อนบ้านลดต้นลดดอก คือ วิธีการคำนวณดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านแบบ "ลดต้นลดดอก" (Reducing Balance Interest Rate) โดยดอกเบี้ยจะถูกคำนวณจากเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวดที่ผู้กู้ชำระเข้าไป นั่นหมายความว่า ยิ่งคุณจ่ายเงินต้นคืนได้มากเท่าไร เงินต้นคงเหลือก็จะลดลง และดอกเบี้ยที่ถูกคำนวณในงวดถัดไปก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้เงินที่คุณผ่อนในแต่ละงวดถูกนำไปตัดเงินต้นได้มากขึ้น ส่งผลให้หนี้หมดเร็วขึ้นและประหยัดดอกเบี้ยโดยรวมได้มากขึ้น
ดอกเบี้ยบ้านแบบลดต้นลดดอกต่างจากแบบดอกเบี้ยคงที่อย่างไร?
ในการพิจารณาว่าดอกเบี้ยบ้านแบบไหนดีที่สุดนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความต้องการของผู้กู้แต่ละราย แต่โดยทั่วไปแล้วดอกเบี้ยบ้านแบบลดต้นลดดอก มักจะเป็นที่นิยมและแนะนำมากกว่า เพราะเปิดโอกาสให้ผู้กู้ประหยัดดอกเบี้ยได้หากมีการจัดการที่ดีมาดูตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยบ้านแบบลดต้นลดดอกกับดอกเบี้ยแบบคงที่ เพื่อให้คุณเข้าใจถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นกัน
คุณสมบัติ | ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Reducing Balance) | ดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate) |
การคำนวณดอกเบี้ย | คำนวณจาก "เงินต้นคงเหลือ" ในแต่ละงวดที่ชำระ | คำนวณจาก "เงินต้นทั้งหมด" ตลอดอายุสัญญา โดยไม่ลดลงแม้จะจ่ายเงินต้นไปแล้ว |
ผลต่อเงินต้น | ยิ่งจ่ายมาก เงินต้นยิ่งลดเร็ว ดอกเบี้ยยิ่งน้อยลง | เงินต้นที่ถูกหักจากค่างวดอาจไม่ลดลงเร็วเท่า แม้จ่ายค่างวดเท่ากัน |
โอกาสประหยัด | สูง หากมีการโปะหนี้เพิ่ม หรือชำระเกินค่างวด | ไม่มีผลต่อการประหยัดดอกเบี้ยโดยรวม หากโปะหนี้เพิ่ม |
ความยืดหยุ่น | สูงกว่า สามารถวางแผนการผ่อนชำระเพื่อลดดอกเบี้ยได้ | ต่ำกว่า ดอกเบี้ยตายตัวไม่ว่าจะจ่ายเพิ่มหรือไม่ |
เหมาะสำหรับ | ผู้ที่ต้องการผ่อนหมดเร็ว, ต้องการประหยัดดอกเบี้ย, มีความสามารถในการโปะหนี้ | สินเชื่อระยะสั้น หรือผู้ที่ต้องการความแน่นอนของดอกเบี้ยตลอดสัญญา |
ตัวอย่างสินเชื่อ | สินเชื่อบ้าน, สินเชื่อส่วนบุคคลที่มักคิดดอกเบี้ยรายวัน | สินเชื่อรถยนต์, สินเชื่อเช่าซื้อ (บางประเภท) |
ตัวอย่างวิธีคิดคำนวณดอกเบี้ยลดต้นลดดอก
การคำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกจะมีความซับซ้อนกว่าดอกเบี้ยแบบคงที่เล็กน้อย เพราะต้องคำนวณจากเงินต้นที่ลดลงในแต่ละงวด แต่หลักการ คือ ดอกเบี้ยจะลดลงเมื่อเงินต้นลดลง
วิธีคิด
- คำนวณดอกเบี้ยของงวดนั้น ๆ โดยนำ "เงินต้นคงเหลือ ณ สิ้นงวดก่อนหน้า" มาคูณกับ "อัตราดอกเบี้ยต่อปี" แล้วหารด้วย 365 (หรือ 366 ในปีอธิกสุรทิน) คูณด้วย "จำนวนวันในงวดนั้น ๆ" (ซึ่งส่วนใ หญ่ คือ 30-31 วัน)
- เมื่อนำ "ค่างวดที่จ่าย" ลบด้วย "ดอกเบี้ยที่คำนวณได้" ส่วนที่เหลือจะเป็น "เงินต้นที่ถูกตัด"
- จากนั้นนำ "เงินต้นคงเหลือ ณ สิ้นงวดก่อนหน้า" ลบด้วย "เงินต้นที่ถูกตัด" เพื่อให้ได้เงินต้นคงเหลือสำหรับคำนวณดอกเบี้ยในงวดถัดไป
ยกตัวอย่าง
สมมติว่าคุณกู้ซื้อบ้าน 1,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี ผ่อนชำระเดือนละ 7,000 บาท (โดยประมาณ)
งวดที่ 1
เงินต้นคงเหลือ ณ ต้นงวด: 1,000,000 บาท
ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในเดือนนี้ (สมมติ 30 วัน): (1,000,000 บาท x 6% x 30 วัน) / 365 วัน = 4,931.51 บาท
ค่างวดที่จ่าย: 7,000 บาท จะถูกตัดเงินต้นอยู่ที่: 7,000 บาท - 4,931.51 บาท = 2,068.49 บาท
เงินต้นคงเหลือ ณ สิ้นงวด: 1,000,000 บาท - 2,068.49 บาท = 997,931.51 บาท
งวดที่ 2
เงินต้นคงเหลือ ณ ต้นงวด: 997,931.51 บาท
ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในเดือนนี้ (สมมติ 30 วัน): (997,931.51 บาท x 6% x 30 วัน) / 365 วัน = 4,921.28 บาท
ค่างวดที่จ่าย: 7,000 บาท จะถูกตัดเงินต้นอยู่ที่: 7,000 บาท - 4,921.28 บาท = 2,078.72 บาท
เงินต้นคงเหลือ ณ สิ้นงวด: 997,931.51 บาท - 2,078.72 บาท = 995,852.79 บาท
จะเห็นได้ว่าในงวดที่ 2 ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลดลงเล็กน้อย (จาก 4,931.51 บาท เป็น 4,921.28 บาท) และเงินต้นที่ถูกตัดเพิ่มขึ้น (จาก 2,068.49 บาท เป็น 2,078.72 บาท) แม้ว่าจะจ่ายค่างวดเท่าเดิม นี่คือหลักการของดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก “ยิ่งเงินต้นลด ดอกเบี้ยก็ยิ่งลดลง” ทำให้เงินที่เราจ่ายไปตัดเงินต้นได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละงวด และเป็นเหตุผลว่าทำไมการโปะหนี้ (จ่ายเกินค่างวด) จึงช่วยลดระยะเวลาผ่อนและประหยัดดอกเบี้ยได้อย่างมหาศาล
ข้อดีของการเลือกดอกเบี้ยลดต้นลดดอก มีอะไรบ้าง?
การเลือกสินเชื่อบ้านที่คำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกมีข้อดีหลายประการที่ผู้กู้ควรพิจารณา ซึ่งจะช่วยให้คุณบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดยิ่งขึ้น
-
ประหยัดดอกเบี้ยโดยรวม: นี่คือข้อดีที่โดดเด่นที่สุด เนื่องจากดอกเบี้ยจะถูกคำนวณจากเงินต้นคงเหลือที่ลดลงเรื่อย ๆ หากคุณจ่ายเงินต้นได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายค่างวดที่สูงกว่าขั้นต่ำ หรือการโปะหนี้ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดถัดไปก็จะลดลง ทำให้จำนวนดอกเบี้ยที่คุณจ่ายตลอดอายุสัญญาลดลงอย่างมาก
-
หนี้หมดเร็วขึ้น: เพราะเมื่อดอกเบี้ยที่ถูกคำนวณในแต่ละงวดลดลง สัดส่วนของเงินที่คุณจ่ายในแต่ละค่างวดจะถูกนำไปตัดเงินต้นได้มากขึ้น ส่งผลให้เงินต้นลดลงเร็วขึ้น และทำให้คุณสามารถชำระคืนหนี้ได้หมดก่อนกำหนดเวลาเดิมที่วางไว้
-
มีความยืดหยุ่นในการชำระ: เนื่องจากระบบลดต้นลดดอกส่งเสริมให้คุณสามารถวางแผนการชำระหนี้ได้อย่างยืดหยุ่น เช่น หากมีรายได้พิเศษหรือโบนัส คุณสามารถนำเงินมาโปะหนี้ได้โดยตรงเพื่อลดเงินต้น ซึ่งจะส่งผลให้ดอกเบี้ยลดลงทันที และสามารถลดภาระดอกเบี้ยได้มากกว่าการนำเงินไปออมในรูปแบบอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
-
ในช่วงเริ่มต้นของการผ่อนชำระ: เงินส่วนใหญ่ของค่างวดจะถูกนำไปจ่ายดอกเบี้ย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เงินต้นลดลง สัดส่วนของดอกเบี้ยจะลดลง ในขณะที่สัดส่วนของเงินที่นำไปตัดเงินต้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผู้กู้รู้สึกว่าหนี้ลดลงอย่างแท้จริง
ข้อเสียของการเลือกดอกเบี้ยลดต้นลดดอก มีอะไรบ้าง?
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่การคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกก็อาจมีข้อเสียบางประการที่ควรทราบ โดยเฉพาะหากผู้กู้ไม่ได้บริหารจัดการอย่างเหมาะสม
-
การคำนวณที่ซับซ้อนกว่าดอกเบี้ยแบบคงที่: เนื่องจากต้องมีการคำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวันหรือแต่ละงวด ทำให้ผู้กู้อาจเข้าใจได้ยากว่าในแต่ละค่างวด เงินถูกนำไปตัดดอกเบี้ยและเงินต้นในสัดส่วนเท่าใด หากไม่มีเครื่องมือช่วยคำนวณ
-
ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย: สำหรับดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) ซึ่งจะปรับเปลี่ยนไปตามอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของตลาด เช่น MRR, MLR, MOR หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มสูงขึ้น ภาระดอกเบี้ยต่อเดือนของผู้กู้ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แม้จะยังคงเป็นระบบลดต้นลดดอกก็ตาม
-
ต้องมีวินัยในการบริหารจัดการ: เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลดต้นลดดอก ผู้กู้ควรมีความเข้าใจและมีวินัยในการจ่ายชำระ เช่น การโปะหนี้เมื่อมีเงินก้อน หรือการจ่ายค่างวดที่สูงกว่าขั้นต่ำ หากไม่มีการจัดการที่ดี หรือจ่ายเพียงแค่ขั้นต่ำตามสัญญา ผลประโยชน์ในการประหยัดดอกเบี้ยก็จะลดลงไปนั่นเอง
วิธีคิดดอกเบี้ยแบบคงที่
ดอกเบี้ยแบบคงที่ หรือ "Flat Rate" เป็นวิธีการคำนวณดอกเบี้ยที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาและมักใช้กับสินเชื่อประเภทอื่นที่ไม่ใช่สินเชื่อบ้าน เช่น สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งมีลักษณะการคำนวณดอกเบี้ยที่แตกต่างจากการลดต้นลดดอกโดยสิ้นเชิง
โดยดอกเบี้ยแบบคงที่จะคำนวณจากเงินต้นทั้งหมด ตลอดอายุสัญญา โดยนำอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้มาคูณกับเงินต้นทั้งหมดตั้งแต่แรก และกำหนดเป็นยอดดอกเบี้ยคงที่ที่ต้องจ่ายตลอดระยะเวลาผ่อนชำระ โดยไม่คำนึงถึงว่าเงินต้นจะลดลงไปเท่าไรแล้วในแต่ละงวดที่ผ่อนชำระเข้าไป
วิธีคิด
นำ "เงินต้นทั้งหมด" คูณด้วย "อัตราดอกเบี้ยต่อปี" คูณด้วย "จำนวนปีที่ผ่อนชำระ"
คำนวณค่างวดต่อเดือน โดยนำ (เงินต้นทั้งหมด + ดอกเบี้ยรวมตลอดสัญญา) มาหารด้วย "จำนวนงวดทั้งหมด (จำนวนปี x 12 เดือน)"
ยกตัวอย่าง
สมมติว่าคุณซื้อรถยนต์ราคา 800,000 บาท ผ่อนชำระ 5 ปี (60 เดือน) อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี
-
คำนวณดอกเบี้ยรวมตลอดสัญญา
ดอกเบี้ยรวม = เงินต้น x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนปีที่ผ่อน
ดอกเบี้ยรวม = 800,000 บาท x 3% x 5 ปี ดอกเบี้ยรวม = 800,000 บาท x 0.03 x 5 = 120,000 บาท -
คำนวณยอดรวมที่ต้องชำระ
ยอดรวมที่ต้องชำระ = เงินต้น + ดอกเบี้ยรวม
ยอดรวมที่ต้องชำระ = 800,000 บาท + 120,000 บาท = 920,000 บาท -
คำนวณค่างวดต่อเดือน
ค่างวดต่อเดือน = ยอดรวมที่ต้องชำระ / จำนวนงวดทั้งหมด
ค่างวดต่อเดือน = 920,000 บาท / 60 เดือน = 15,333.33 บาท
ในกรณีนี้ คุณจะต้องจ่ายค่างวดเดือนละ 15,333.33 บาท เป็นเวลา 60 เดือน โดยในแต่ละงวด เงินที่นำไปตัดดอกเบี้ยจะเป็นสัดส่วนคงที่ และไม่เปลี่ยนแปลงแม้คุณจะโปะหนี้ก็ตาม เพราะดอกเบี้ยถูกคำนวณจากเงินต้นเต็มจำนวนตั้งแต่แรกแล้ว
คำถามที่พบบ่อย
ดอกเบี้ยลดต้นลดดอกกับดอกเบี้ยคงที่ ควรเลือกดอกเบี้ยแบบไหนดี?
โดยทั่วไปแล้ว การเลือกดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Reducing Balance) มักจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับสินเชื่อบ้าน เนื่องจากสินเชื่อบ้านเป็นหนี้ระยะยาว การคำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือทำให้ผู้กู้มีโอกาสประหยัดดอกเบี้ยได้มหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการโปะหนี้เพิ่ม หรือชำระค่างวดที่สูงกว่าขั้นต่ำ จะช่วยให้หนี้หมดเร็วขึ้นและลดภาระดอกเบี้ยรวมได้มาก
ในขณะที่ดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate) แม้จะดูเข้าใจง่ายและค่างวดคงที่ตลอดสัญญา แต่ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณจากเงินต้นเต็มจำนวนตั้งแต่แรก ทำให้ไม่มีโอกาสประหยัดดอกเบี้ยจากการโปะหนี้เลย จึงไม่เหมาะกับสินเชื่อระยะยาวอย่างสินเชื่อบ้าน
ลดต้นลดดอกช่วยประหยัดจริงไหม?
จริงอย่างแน่นอน การผ่อนบ้านแบบลดต้นลดดอกช่วยให้คุณประหยัดดอกเบี้ยได้จริง โดยเฉพาะเมื่อคุณมีความสามารถในการโปะหนี้ (จ่ายเกินค่างวด) หรือชำระเงินต้นเพิ่มเข้าไป เพราะทุกบาทที่คุณจ่ายเกินค่างวดขั้นต่ำจะถูกนำไปตัดเงินต้นเป็นอันดับแรก ซึ่งส่งผลให้เงินต้นคงเหลือลดลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเงินต้นลดลง ดอกเบี้ยที่คำนวณในงวดถัดไปก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้สัดส่วนเงินที่นำไปตัดเงินต้นในค่างวดต่อ ๆ ไปมีมากขึ้น หนี้จึงหมดเร็วขึ้นและดอกเบี้ยรวมที่คุณต้องจ่ายตลอดอายุสัญญาก็น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ธนาคารไหนดี?
การเลือกธนาคารที่ดีที่สุดสำหรับสินเชื่อบ้านแบบลดต้นลดดอกนั้น ขึ้นอยู่กับโปรโมชัน อัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขที่ธนาคารนำเสนอในช่วงเวลานั้น ๆ ไม่มีธนาคารใดที่ "ดีที่สุด" ตลอดเวลา สิ่งสำคัญคือคุณควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและโปรโมชันของหลาย ๆ ธนาคารอย่างละเอียด ทั้งอัตราดอกเบี้ยคงที่ในช่วงปีแรก ๆ และอัตราดอกเบี้ยลอยตัวหลังหมดช่วงโปรโมชัน รวมถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เงื่อนไขการอนุมัติ และบริการเสริมที่แต่ละธนาคารมีให้
การปรึกษาเจ้าหน้าที่ธนาคารหลายแห่งและพิจารณาจากความต้องการและความสามารถในการชำระหนี้ของคุณเอง จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกข้อเสนอที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณ
สรุป: เรื่องผ่อนบ้านแบบลดต้นลดดอก
การทำความเข้าใจหลักการผ่อนบ้านแบบลดต้นลดดอก คือ หัวใจสำคัญของการบริหารจัดการหนี้อย่างชาญฉลาด เพราะดอกเบี้ยจะถูกคำนวณจากเงินต้นคงเหลือ ทำให้คุณสามารถประหยัดดอกเบี้ยรวม ได้มหาศาลและปลดภาระหนี้ได้เร็วขึ้น เพียงแค่วางแผนและโปะหนี้ เมื่อมีเงินก้อน แม้จะต้องมีวินัยทางการเงินที่ดี แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าอย่างแน่นอน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อบ้านในฝันของคุณ และการวางแผนการเงินที่ยั่งยืน
Frasers Property เรามุ่งมั่นพัฒนาโครงการคุณภาพที่คุ้มค่าแก่การลงทุน เพื่อให้คุณได้เป็นเจ้าของบ้านในฝันได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าสำหรับทุกบาททุกสตางค์ที่คุณจ่ายไป
รวมบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมพร้อมอยู่ ในราคาผ่อนได้สบาย ๆ
การเป็นเจ้าของและซื้อบ้านสักหลังไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป! Frasers Property รวบรวมโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมพร้อมอยู่คุณภาพเยี่ยมในทำเลศักยภาพ มาพร้อมราคาที่ผ่อนสบาย ให้คุณเป็นเจ้าของได้อย่างมั่นใจ
บ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ ในราคาผ่อนได้สบาย ๆ
Frasers Property ขอแนะนำโครงการบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ที่ออกแบบมาเพื่อชีวิตที่เหนือกว่า ในราคาที่เอื้อมถึง
1.นีโอ โฮม บางแค (Neo Home Bangkhae)
บ้านเดี่ยวฟังก์ชันครบครันบนทำเลศักยภาพย่านบางแค ที่มาพร้อมพื้นที่ใช้สอยที่คุ้มค่า การเดินทางสะดวกสบาย ใกล้รถไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะสำหรับครอบครัวที่กำลังมองหาบ้านที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ เริ่มต้น 7.99 ล้านบาท
2. นีโอ โฮม รัตนาธิเบศร์-ราชพฤกษ์ (Neo Home Rattanathibet-Ratchapruek)
บ้านเดี่ยวที่ให้คุณได้สัมผัสความสุขของการใช้ชีวิตในสังคมคุณภาพ ด้วยการออกแบบที่เน้นความโปร่ง โล่ง สบาย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการครบครัน ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วงและห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เริ่มต้น 5.69 ล้านบาท
3. โกลเด้น นีโอ ศิริราช-ราชพฤกษ์ (Golden Neo Siriraj-Ratchapruek)
บ้านเดี่ยวที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ แต่ยังคงเชื่อมต่อความสะดวกสบายได้อย่างลงตัว ใกล้ BTS สายสีเขียว สถานีบางหว้า และ MRT สีน้ำเงิน สถานีแยกไฟฉาย โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ทันสมัย พื้นที่กว้างขวาง และสังคมคุณภาพ เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการความสงบและความเป็นส่วนตัว เริ่มต้น 8.99 ล้านบาท
4. โกลเด้น นีโอ 2 รามอินทรา-วงแหวน (Golden Neo 2 Ramintra-Wongwaen)
บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่ที่โดดเด่นบนทำเลรามอินทรา-วงแหวนฯ เชื่อมต่อการเดินทางสู่เมืองได้อย่างรวดเร็ว ใกล้ทางด่วนและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย โครงการมาพร้อมพื้นที่ใช้สอยที่ลงตัวสำหรับครอบครัวยุคใหม่ พร้อมบรรยากาศอบอุ่นเป็นส่วนตัว เริ่มต้น 5.69 ล้านบาท
ทาวน์โฮมพร้อมอยู่ ในราคาผ่อนได้สบาย ๆ
1. โกลเด้น ทาวน์ รัตนาธิเบศร์-เวสต์เกต (Golden Town Rattanathibet-Westgate)
เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์อิตาลี มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ สนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ และระบบรักษาความปลอดภัย ตั้งอยู่ใกล้เซ็นทรัล เวสต์เกต และรถไฟฟ้าสายสีม่วง เริ่มต้น 2.39 ล้านบาท
2. โกลเด้น ทาวน์ สุขสวัสดิ์-พระราม 3 (Golden Town Suksawat - Rama 3)
เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้นที่โดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้งใกล้รถไฟฟ้าและทางด่วน ภายในโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนสาธารณะ ระบบรักษาความปลอดภัย และคลับเฮาส์พร้อมโรงหนังส่วนตัว ใกล้เซ็นทรัล พระราม 2 และโรงพยาบาลบางปะกอก 1 ราคาเริ่มต้นที่ 2.89 ล้านบาท
3. โกลดีน่า สุขุมวิท-แบริ่ง (Goldina Sukhumvit-Bearing)
เป็นทาวน์โฮมพรีเมียมที่ตั้งอยู่ใกล้ BTS แบริ่ง และ MRT สำโรง มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนเมือง ใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์ อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา และโรงพยาบาล ราคาเริ่มต้นที่ 3.59 - 6 ล้านบาท