การผ่อนบ้านเป็นภาระทางการเงินระยะยาวที่หลายคนต้องรับมืออย่างต่อเนื่อง ยิ่งผ่อนนาน ดอกเบี้ยก็ยิ่งเป็นภาระมากขึ้น ทำให้หลายคนเริ่มมองหาวิธีที่จะช่วยลดต้นทุนและบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหนึ่งในทางเลือกสำคัญที่ช่วยลดดอกเบี้ยและภาระผ่อนชำระได้จริงก็คือ “รีไฟแนนซ์บ้าน”
บทความนี้ Frasers Property จะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างละเอียดว่า รีไฟแนนซ์บ้านคืออะไร? มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่ต้องเตรียม? ข้อดีที่ควรรู้ และควรเลือกรีไฟแนนซ์กับธนาคารไหนดีในปี 2568 เพื่อให้คุณสามารถวางแผนและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจที่สุด
รีไฟแนนซ์บ้าน คืออะไร?

รีไฟแนนซ์บ้าน (Home Refinancing) คือการยื่นขอสินเชื่อก้อนใหม่กับธนาคารแห่งใหม่ เพื่อนำมาปิดหนี้สินเชื่อบ้านก้อนเก่ากับธนาคารเดิม วัตถุประสงค์หลักของการรีไฟแนนซ์คือเพื่อลดภาระดอกเบี้ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากผ่อนชำระไปแล้ว 3 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยมักจะปรับสูงขึ้น
ทำไมต้องรีไฟแนนซ์บ้าน
สาเหตุหลักที่ทำให้หลายคนตัดสินใจรีไฟแนนซ์บ้าน คือ เพื่อลดภาระดอกเบี้ย เนื่องจากในช่วง 3 ปีแรกของการผ่อนบ้าน ธนาคารมักจะเสนออัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อจูงใจ แต่หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยก็จะปรับสูงขึ้น ทำให้ยอดผ่อนชำระในแต่ละเดือนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
การรีไฟแนนซ์จึงเป็นโอกาสในการย้ายไปใช้สินเชื่อบ้านกับธนาคารใหม่ที่เสนออัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าเดิม ซึ่งช่วยให้คุณประหยัดเงินในส่วนของดอกเบี้ยได้เป็นจำนวนมาก และยังสามารถขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระให้นานขึ้นได้อีกด้วย
ข้อดีของการรีไฟแนนซ์บ้าน ช่วยอะไรบ้าง

การรีไฟแนนซ์บ้านมีข้อดีหลายประการที่ช่วยให้การบริหารจัดการหนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้
-
ช่วยลดภาระดอกเบี้ยลงจากธนาคารแห่งใหม่ ทำให้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนลดลง และช่วยประหยัดเงินในระยะยาวได้เป็นจำนวนมาก
-
หากคุณมีกำลังในการผ่อนชำระมากขึ้น การรีไฟแนนซ์อาจช่วยให้คุณผ่อนหมดเร็วขึ้นได้ โดยยังคงผ่อนในยอดเท่าเดิมหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
-
ในบางกรณีธนาคารอาจเสนอวงเงินสินเชื่อที่สูงขึ้นจากยอดหนี้คงค้าง ทำให้คุณมีเงินก้อนสำหรับใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น การตกแต่งบ้าน หรือการรวมหนี้สินอื่น ๆ
-
ธนาคารใหม่มักจะเสนอสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อจูงใจลูกค้า เช่น ฟรีค่าธรรมเนียมการประเมินราคาหลักทรัพย์ หรือฟรีค่าจดจำนอง เป็นต้น
ใครบ้างเหมาะกับการรีไฟแนนซ์บ้าน?
การรีไฟแนนซ์บ้านเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดภาระทางการเงินและวางแผนการผ่อนชำระให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
-
ผู้ที่ผ่อนบ้านมาแล้ว 3 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านมักจะปรับสูงขึ้น การรีไฟแนนซ์จึงเป็นโอกาสที่ดีในการย้ายไปใช้อัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ต่ำกว่า
-
ผู้ที่มีวินัยทางการเงินที่ดี เพราะจะมีโอกาสสูงในการได้รับการอนุมัติสินเชื่อรีไฟแนนซ์จากธนาคารใหม่
-
ผู้ที่ต้องการลดภาระการผ่อนชำระต่อเดือน การรีไฟแนนซ์ช่วยให้ยอดผ่อนลดลง ทำให้คุณมีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้นในแต่ละเดือน
-
ผู้ที่ต้องการวงเงินเพิ่ม สำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ การรีไฟแนนซ์พร้อมขอวงเงินเพิ่มจากธนาคารใหม่ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ค่าใช้จ่าย รีไฟแนนซ์บ้าน มีเสียค่าอะไรบ้าง?

การรีไฟแนนซ์บ้านมีค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมพร้อม ดังนี้
-
ค่าธรรมเนียมการประเมินราคาหลักทรัพย์ เป็นค่าใช้จ่ายที่ธนาคารเรียกเก็บเพื่อประเมินราคาบ้านใหม่ ซึ่งมักจะอยู่ระหว่าง 2,000 - 3,000 บาท
-
ค่าจดจำนอง เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้กับกรมที่ดินเมื่อมีการจดจำนองใหม่ โดยคิดเป็น 1% ของยอดวงเงินที่จำนอง
-
ค่าอากรแสตมป์ คิดเป็น 0.05% ของวงเงินกู้
-
ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ อาทิ อาจมีค่าธรรมเนียมในการจัดการสินเชื่อ หรือค่าธรรมเนียมการไถ่ถอนจำนองจากธนาคารเดิม ซึ่งควรสอบถามรายละเอียดจากทั้งสองธนาคารก่อนอีกครั้ง
รีไฟแนนซ์บ้าน ธนาคารเดิมได้ไหม?
การยื่นขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิมเรียกว่า "Retention" (รีเทนชัน) ซึ่งเป็นการเจรจาขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิมที่คุณผ่อนอยู่ ซึ่งมีข้อดี คือ คุณไม่ต้องยื่นเอกสารใหม่ ไม่เสียค่าธรรมเนียมจดจำนอง และขั้นตอนไม่ยุ่งยากเท่าการรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่
แต่ธนาคารเดิมอาจจะให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าการรีไฟแนนซ์ไปธนาคารใหม่เล็กน้อย ดังนั้นคุณจึงควรเปรียบเทียบข้อเสนอจากทั้งธนาคารเดิมและธนาคารใหม่ก่อนตัดสินใจ
สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนรีไฟแนนซ์บ้าน?
ก่อนตัดสินใจยื่นรีไฟแนนซ์ ควรเตรียมตัวให้พร้อม ดังนี้
-
ตรวจสอบยอดหนี้คงค้าง โดยติดต่อกับธนาคารเดิมเพื่อตรวจสอบยอดหนี้คงเหลือและอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน
-
ตรวจสอบเงื่อนไขการไถ่ถอนจำนองว่ามีค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมในการไถ่ถอนก่อนกำหนดหรือไม่? ซึ่งโดยทั่วไปธนาคารจะกำหนดให้ผ่อนอย่างน้อย 3 ปีก่อน จึงจะทำการรีไฟแนนซ์ได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม
-
เปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายธนาคาร เพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุด
-
เตรียมเอกสารให้พร้อม โดยทั่วไปจะใช้เอกสารส่วนตัว เช่น สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, สลิปเงินเดือนย้อนหลัง และรายการเดินบัญชีธนาคารย้อนหลัง เป็นต้น
-
คำนวณภาระหนี้สินใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะสามารถผ่อนชำระได้อย่างสบาย ๆ ในแต่ละเดือน
รีไฟแนนซ์บ้าน ใช้เอกสารอะไรบ้าง?
การรีไฟแนนซ์บ้านจำเป็นต้องใช้เอกสารหลายอย่างเพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งเอกสารสำหรับทำเรื่องกับธนาคารเดิมและธนาคารใหม่จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ดังนี้
1. เอกสารสำหรับใช้ปรับปรุงสัญญากับธนาคารเดิม
-
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
-
สำเนาทะเบียนบ้าน
-
สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน
-
รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
-
สำเนาสัญญาเงินกู้กับธนาคารเดิม
-
สำเนาโฉนดที่ดิน
2. เอกสารสำหรับใช้รีไฟแนนซ์บ้าน ที่ธนาคารใหม่
-
เอกสารส่วนตัว
-
สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
-
สำเนาทะเบียนบ้าน
-
สำเนาทะเบียนสมรส/ใบหย่า (ถ้ามี)
-
-
เอกสารรายได้ (พนักงานประจำ)
-
สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน
-
หนังสือรับรองเงินเดือน
-
รายการเดินบัญชี (Statement) ย้อนหลัง 6 เดือน
-
-
เอกสารสำหรับหลักทรัพย์
-
สำเนาโฉนดที่ดิน
-
สัญญาเงินกู้และสัญญากู้ซื้อบ้านกับธนาคารเดิม
-
รีไฟแนนซ์บ้าน ทำได้กี่ครั้ง?
โดยหลักการแล้ว ไม่มีการจำกัดจำนวนครั้งในการรีไฟแนนซ์บ้าน คุณสามารถรีไฟแนนซ์ได้เรื่อย ๆ ตราบใดที่สัญญาสินเชื่อบ้านฉบับปัจจุบันของคุณหมดช่วงระยะเวลาผูกพัน (โดยทั่วไปคือ 3 ปี)
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรทำบ่อยเกินไป เนื่องจากในทุกครั้งที่รีไฟแนนซ์จะมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมา เช่น ค่าธรรมเนียมการประเมินราคาหลักทรัพย์ และค่าจดจำนอง ซึ่งหากคำนวณแล้วค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นอาจไม่คุ้มกับดอกเบี้ยที่ประหยัดได้
คู่มือวิธีรีไฟแนนซ์บ้าน เพิ่มสภาพคล่อง ลดภาระหนี้

การรีไฟแนนซ์บ้านเป็นขั้นตอนที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและลดภาระหนี้ได้อย่างแท้จริง โดยมีขั้นตอนดังนี้
-
ติดต่อธนาคารเดิมเพื่อสอบถามว่าคุณได้ผ่อนชำระครบตามเงื่อนไขการห้ามไถ่ถอนก่อนกำหนดหรือยัง (โดยทั่วไปคือ 3 ปี) และมียอดหนี้คงเหลือเท่าไร
-
ศึกษาและเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย, วงเงินกู้, และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากธนาคารใหม่หลายแห่ง รวมถึงเจรจาขอลดดอกเบี้ย (Retention) กับธนาคารเดิม เพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุด
-
เตรียมเอกสารให้พร้อม ทั้งเอกสารส่วนตัว เอกสารรายได้ และเอกสารหลักทรัพย์ เพื่อใช้ในการยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารใหม่
-
ยื่นเอกสารทั้งหมดให้กับธนาคารใหม่ที่คุณเลือก โดยธนาคารจะดำเนินการประเมินราคาหลักทรัพย์และพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ
-
หากสินเชื่อได้รับการอนุมัติ ธนาคารจะนัดหมายเพื่อทำสัญญาและไปดำเนินการจดจำนองกับกรมที่ดิน และธนาคารใหม่จะนำเงินไปปิดหนี้กับธนาคารเดิมให้คุณ
ข้อเสียของการรีไฟแนนซ์บ้าน มีอะไรบ้าง?
แม้ว่าการรีไฟแนนซ์บ้านจะมีข้อดีที่น่าสนใจ แต่ก็มีข้อเสียที่ควรพิจารณา ดังนี้
-
มีค่าใช้จ่ายแฝง ในทุกครั้งที่รีไฟแนนซ์จะต้องเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าจดจำนอง, และค่าอากรแสตมป์ ซึ่งเป็นเงินก้อนที่ต้องจ่ายในตอนแรก
-
การยื่นขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่มีขั้นตอนและเอกสารที่ต้องเตรียมค่อนข้างมาก และต้องใช้เวลาในการดำเนินการ
-
ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยในอนาคต เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ได้จะได้ต่ำในช่วง 3 ปีแรกของการรีไฟแนนซ์ และอาจปรับสูงขึ้นหลังจากนั้น ซึ่งคุณต้องวางแผนให้ดีเพื่อรับมือกับอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต
รีไฟแนนซ์บ้านได้วงเงินเท่าไร?
วงเงินที่ได้จากการรีไฟแนนซ์จะขึ้นอยู่กับยอดหนี้คงค้าง และราคาประเมินหลักทรัพย์ที่ธนาคารใหม่กำหนด โดยทั่วไปแล้วธนาคารจะให้วงเงินสินเชื่อตามยอดหนี้คงค้าง เพื่อนำไปปิดหนี้เก่าเป็นหลัก
แต่ในบางกรณี หากราคาประเมินหลักทรัพย์สูงกว่ายอดหนี้คงค้าง ธนาคารอาจเสนอวงเงินเพิ่มให้ ซึ่งอาจสูงถึง 90-100% ของราคาประเมินใหม่ เพื่อให้คุณมีเงินสดส่วนเกินสำหรับใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติมได้
เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน ทุกธนาคาร 2568
การรีไฟแนนซ์บ้านเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้คุณลดภาระดอกเบี้ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2568 นี้ แต่ละธนาคารได้ออกโปรโมชั่นและอัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดลูกค้า ซึ่งการเปรียบเทียบข้อเสนออย่างละเอียดจะช่วยให้คุณเลือกได้ตรงใจและคุ้มค่าที่สุด
และเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขการอนุมัติสินเชื่อเป็นข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามโปรโมชั่นและนโยบายของธนาคาร จึงควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุด ณ ขณะยื่นสมัครกับธนาคารโดยตรงเสมอ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำที่สุด โดยตารางด้านล่างนี้เป็นเพียงข้อมูลอ้างอิงเบื้องต้นสำหรับการเปรียบเทียบ
| ชื่อธนาคาร | ดอกเบี้ยต่ำสุดเฉลี่ยใน 3 ปีแรก (โดยประมาณ) | วงเงินกู้สูงสุด |
| ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) | 2.70 - 3.20% | สูงสุด 100% ของราคาประเมิน |
| ธนาคารออมสิน (GSB) | 2.99 - 4.79% | สูงสุด 110% ของราคาประเมิน |
| ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) | 2.98% | สูงสุด 95 - 100% ของราคาประเมิน |
| ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) | 2.89 - 3.30% | สูงสุด 100% ของราคาประเมิน |
| ธนาคารกสิกรไทย (KBank) | 3.10 - 3.42% | สูงสุด 100% ของราคาประเมิน |
| ธนาคารกรุงไทย (Krungthai) | 3.29 - 3.51% | สูงสุด 100% ของราคาประเมิน |
| ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) | 3.32 - 3.99% | สูงสุด 100% ของราคาประเมิน |
| ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) | 2.64% | สูงสุด 100% ของราคาประเมิน |
รีไฟแนนซ์บ้าน 2568 ธนาคารไหนดี?
การเลือกธนาคารสำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านในปี 2568 นั้น ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจ วงเงินที่ต้องการ และบริการต่าง ๆ โดยแต่ละธนาคารก็มีจุดเด่นและผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันไป ดังนี้
| ชื่อธนาคาร | จุดเด่น | ผลิตภัณฑ์ของธนาคาร |
| ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) | เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีอัตราดอกเบี้ยต่ำเฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 3.20% | สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยต่ำ วงเงินกู้สูงสุด 100% ของราคาประเมิน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ |
| ธนาคารออมสิน | เป็นธนาคารของรัฐที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย เหมาะกับกลุ่มลูกค้าเฉพาะ เช่น ผู้มีรายได้น้อย และข้าราชการ | สินเชื่อบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย และสินเชื่อบ้านสำหรับข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ โดยให้วงเงินกู้สูงสุดถึง 110% ของราคาประเมิน |
| ธนาคารกรุงไทย | เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีที่แข่งขันได้ (3.51%) | สินเชื่อบ้านสำหรับผู้มีรายได้ประจำและผู้ประกอบอาชีพอิสระ วงเงินกู้สูงสุด 100% ของราคาประเมิน |
| ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) | มีผลิตภัณฑ์หลากหลายให้เลือกสรร รวมถึงสินเชื่อสำหรับพนักงานองค์กร และสินเชื่อเพื่อบ้านประหยัดพลังงาน | สินเชื่อบ้านใหม่, สินเชื่อบ้านสวัสดิการพนักงานองค์กร, และสินเชื่อบ้าน SCB Green Loan วงเงินกู้สูงสุด 100% ของราคาประเมิน |
| ธนาคารทีเอ็มบีธนชาติ (ttb) | มีอัตราดอกเบี้ยคงที่น่าสนใจ (3.30% ใน 3 ปีแรก) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรีไฟแนนซ์ | สินเชื่อบ้านใหม่-บ้านมือสอง พร้อมอัตราดอกเบี้ยพิเศษและสิทธิประโยชน์ฟรีค่าประเมินหลักทรัพย์และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย |
| ธนาคารกสิกรไทย | เป็นธนาคารชั้นนำที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายและยืดหยุ่น เหมาะสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการบ้านทั้งมือหนึ่งและมือสอง | สินเชื่อบ้านมือหนึ่งและมือสองอัตราดอกเบี้ยพิเศษ วงเงินกู้สูงสุด 100% ของราคาประเมิน |
| ธนาคารกรุงศรี | มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและเงื่อนไขที่ยืดหยุ่น อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีอยู่ที่ 4.90% | สินเชื่อบ้านมือหนึ่งและมือสองที่มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษในระยะเริ่มต้น วงเงินกู้สูงสุด 100% ของราคาประเมิน |
คำถามที่เราพบบ่อย
รีไฟแนนซ์บ้าน ขอเพิ่มวงเงินได้ จริงไหม?

การรีไฟแนนซ์บ้านเปิดโอกาสให้คุณขอวงเงินเพิ่มได้ โดยวงเงินที่เพิ่มขึ้นจะขึ้นอยู่กับราคาประเมินใหม่ของบ้าน ซึ่งธนาคารอาจพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้ให้สูงถึง 90-100% ของราคาประเมิน โดยเงินส่วนต่างที่เกินจากยอดหนี้คงเหลือคุณจะได้รับเป็นเงินสด
รีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารใหม่ มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
การรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารใหม่จะมีค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ได้แก่
- ค่าธรรมเนียมการประเมินราคาหลักทรัพย์ ประมาณ 2,000 - 3,000 บาท
- ค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินที่จำนอง
- ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้
- ค่าธรรมเนียมไถ่ถอนจำนอง ในบางกรณีอาจมีค่าปรับหากไถ่ถอนก่อนครบกำหนดตามเงื่อนไขสัญญา
ผ่อนบ้านกี่งวดจึงจะสามารถทำรีไฟแนนซ์บ้านได้?
โดยทั่วไปแล้วคุณควรผ่อนบ้านอย่างน้อย 36 งวด หรือ 3 ปี จึงจะสามารถทำรีไฟแนนซ์บ้านได้ เนื่องจากเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้กับธนาคารเดิมส่วนใหญ่มักจะระบุว่า หากมีการไถ่ถอนก่อนครบ 3 ปี จะต้องเสียค่าปรับนั่นเอง
การรีไฟแนนซ์บ้านต้องรอให้ครบ 3 ปีจริงหรือเปล่า?
ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น เพราะธนาคารส่วนใหญ่มีเงื่อนไขให้ผ่อนชำระครบ 3 ปี เพื่อให้ครอบคลุมอัตราดอกเบี้ยพิเศษที่ให้ในช่วงแรก หากคุณต้องการรีไฟแนนซ์ก่อนกำหนดจะต้องจ่ายค่าปรับ ซึ่งอาจทำให้ไม่คุ้มค่ากับการรีไฟแนนซ์ได้
การปรับโครงสร้างหนี้บ้านสามารถรีไฟแนนซ์ได้ไหม?
ไม่สามารถทำได้ทันที หากคุณเคยขอปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเดิมแล้วจะยังไม่สามารถรีไฟแนนซ์บ้านได้ในทันที เพราะธนาคารใหม่จะพิจารณาจากประวัติการชำระหนี้ในอดีต ซึ่งการขอปรับโครงสร้างหนี้จะถูกบันทึกไว้ในเครดิตบูโร จึงควรชำระหนี้ให้เป็นปกติสักระยะหนึ่งก่อนจึงจะพิจารณายื่นรีไฟแนนซ์ใหม่อีกครั้ง
ควรยื่นสมัครรีไฟแนนซ์บ้าน ตอนไหนดีที่สุด?
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการยื่นรีไฟแนนซ์บ้าน คือ ช่วงก่อนหมดสัญญาผูกพันกับธนาคารเดิมประมาณ 1-2 เดือน เพื่อให้มีเวลาในการเตรียมเอกสาร เปรียบเทียบข้อเสนอ และดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น
หากมีประวัติเสียทางด้านการเงิน ยังสามารถรีไฟแนนซ์บ้านได้ไหม?
ทำได้ค่อนข้างยาก ธนาคารใหม่ส่วนใหญ่จะตรวจสอบประวัติทางการเงินจากเครดิตบูโรอย่างละเอียด หากพบประวัติเสียหรือการผิดนัดชำระหนี้ โอกาสในการอนุมัติสินเชื่อรีไฟแนนซ์ก็จะต่ำลงอย่างมาก ดังนั้นคุณจึงควรแก้ไขประวัติทางการเงินให้ดีขึ้นก่อนยื่นสมัครใหม่
บ้านแบบไหน ที่รีไฟแนนซ์บ้านได้?
บ้านที่สามารถรีไฟแนนซ์ได้ คือ บ้านที่มีเอกสารสิทธิ์ในการครอบครองอย่างถูกต้อง เช่น โฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และต้องเป็นบ้านที่ไม่มีภาระหนี้อื่น ๆ ที่ผูกพันอยู่กับธนาคาร
รีไฟแนนซ์บ้านต้องทำประกัน MRTA ถึงจะกู้ผ่าน จริงไหม?
ไม่จริงเสมอไป การทำประกัน MRTA (ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ) เป็นเพียงตัวเลือกหนึ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อและยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ไม่ใช่ข้อบังคับที่จะต้องทำเพื่ออนุมัติสินเชื่อ
ยังไม่ถึงเวลาจะรีไฟแนนซ์บ้าน ควรทำยังไงดี?
หากคุณยังไม่ถึงกำหนดรีไฟแนนซ์บ้าน ควรลองเจรจา "รีเทนชัน" (Retention) กับธนาคารเดิมเพื่อขอปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นทางเลือกที่สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าการรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่
สรุป
การรีไฟแนนซ์บ้านเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยปรับโครงสร้างการเงินของคุณให้คล่องตัวขึ้น แต่ก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์ ควรพิจารณาให้รอบด้าน ทั้งค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น เงื่อนไขธนาคาร และตัวเลือกสินเชื่อต่าง ๆ เพื่อให้คุณมั่นใจว่าจะได้รับข้อเสนอที่เหมาะสมที่สุด
สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านคุณภาพ พร้อมทางเลือกทางการเงินที่คล่องตัว Frasers Property มีหลากหลายโครงการและหลายราคาให้เลือกสรร พร้อมด้วยทีมงานให้คำแนะนำเรื่องการรีไฟแนนซ์และสินเชื่ออย่างใกล้ชิด เพื่อให้การมีบ้านในฝันของคุณเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งขึ้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร:1520 หรือทาง Facebook: Frasers Property Home และ Line: @frasershome